การปลูกและการดูแลรักษา
การขยายพันธุ์
ยางพาราสามารถทำการขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น
การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ใช้วิธีการติดตาเขียว ติดตาสีน้ำตาล เป็นต้น
แต่การขยายด้วยเมล็ด ปัจจุบันในประเทศไทยไม่นิยมการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้
ทั้งนี้เพราะไม่มีสวนเก็บเมล็ดโดยตรง
และเมล็ดยางพาราที่นำไปปลูกจะมีการกลายพันธุ์มาก แต่การใช้เมล็ดขยายพันธุ์
มักจะนำไปใช้เพาะต้นกล้าเพื่อใช้ทำเป็นต้นตอสำหรับติดตาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการขยายพันธุ์โดยวิธีการติดตา
จะแบ่งออกเป็นการติดตาเขียว และการติดตาสีน้ำตาล แต่ส่วนใหญ่นิยมขยายพันธุ์ด้วยการติดตาเขียวมากกว่า
เพราะทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว มีเปอร์เซ็นต์การติดสูงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขยายพันธุ์วิธีดังกล่าวมีวิธีการดำเนินงาน 3 ขั้นตอนคือ
1. การสร้างแปลงกล้ายาง
วัสดุที่จะใช้ปลูกแปลงกล้ายาง อาจใช้ส่วนประกอบเพียง 3 ชนิด คือ เมล็ดสด
เมล็ดงอก และต้นกล้า 2 ใบ
จากการศึกษาเรื่องการเลือกใช้ส่วนประกอบของยางพาราสำหรับปลูกทำแปลงกล้ายางนั้น
พบว่าการใช้เมล็ดสดในการปลูกจะดีที่สุดเนื่องจากต้นกล้ายางที่ได้ จะโตเร็วและแข็งแรง มีระบบรากดี
และเป็นการประหยัดงานและเวลา ส่วนการปลูกด้วยต้นกล้า 2 ใบ
นั้นต้นกล้าจะตายเป็นจำนวนมาก และมากกว่าการปลูกด้วยเมล็ดถึง 2 เท่า ในช่วงระยะ
เวลา 6 เดือน ซึ่งกล้ายาง 2
ใบนั้นควรใช้นำไปปลูกกรณีที่หาเมล็ดไม่ได้เท่านั้น สำหรับขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสร้างแปลงและวิธีการปลูกตลอดจนการดูแลรักษา มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. การเลือกพื้นที่ในการปลูก ควรเลือกสภาพพื้นที่ที่เป็นที่ราบ
ดินร่วนเพราะจะมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีการระบายน้ำดี
อยู่ใกล้แหล่งน้ำและการคมนาคมสะดวก
2. การเตรียมดิน ควรทำการไถพลิกดิน 2 ครั้ง หลังจากนั้นทำการไถพรวนอีก
1 ถึง 2 ครั้ง แล้วแต่ความเหมาะสมเพื่อให้พื้นที่มีความเรียบสม่ำเสมอ
ในขณะเดียวกันควรเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงปลูกให้หมดในการไถพรวนครั้งสุดท้าย
และควรหว่านปุ๋ยร็อคฟอสเฟต 100 กิโลกรัม และแมกนีเซียมไลปัส-โตน 40
กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ เนื่องจากดินในประเทศไทย หากปลูกกล้ายางพาราหลายๆ
ครั้งซ้ำกันในที่เดียวกัน กล้ายางมักจะแสดงอาการขาดธาตุแมกนีเซียม และแผ่นใบตรงกลางระหว่างเส้นใบจะมีสีซีดเหลืองหรือขาว
โดยจะแสดงอาการหลังจากยางงอกแล้วประมาณ 2 ถึง 3 เดือน
ดังนั้นการใส่ปุ๋ยแมกนีเซียมไลมัสโตนจึงมีความจำเป็นมาก
โดยเฉพาะในแปลงกล้าที่เกิดอาการขาดธาตุแมกนีเซียมแล้วก่อนจะทำใหม่ต้องใส่แมกนีเซียมก่อนทุกครั้ง
3. การวางแผนผังแปลงกล้า
แปลงกล้ายางแต่ละแปลงย่อย
ไม่ควรมีพื้นที่เกิน 1 ไร่
หากเป็นการให้น้ำแบบระบบสปริงเกอร์ควรจัดขนาดแปลงเข้ากับระบบน้ำ
และรอบแปลงแต่ละแปลงควรวางแนวขุดคูระบายน้ำ และหากเป็นพื้นที่ลาดชัน
ควรวางแถวปลูกขวางแนวลาดชัน และควรจะยกร่องปลูกเป็นแถวคู่ เพื่อป้องกันน้ำชะเมล็ด
4. วิธีการปลูก
มีอยู่ 3 วิธีคือ
1.การปลูกด้วยเมล็ดสด เริ่มตั้งแต่การวางแนวปลูก โดยปักไม้ชะมบไว้ที่หัวและท้ายแปลง ในระยะ 30 x 60 เซนติเมตร ในลักษณะเป็นแนวยาวแล้วขึงเชือกระหว่างไม้ชะมบกับหัวท้ายแปลง
ซึ่งจะเป็นแนวสำหรับเรียงเมล็ดสด จากนั้นใช้จอบลากเป็นร่องลึก ประมาณ 5 เซนติเมตรตามแนวเชือก
แล้วนำเมล็ดสดมาวางเรียง ห่างปกติในช่วงระยะ
1 เมตร จะวางเรียงประมาณ 18 ถึง 24 เมล็ด
ในการเรียงนั้นให้ด้านแบนของเมล็ดคว่ำลง
หลังจากนั้นทำการกลบดิน
ซึ่งในการปลูกแต่ละแปลงนั้นจะใช้เมล็ดประมาณ 300
2.การปลูกด้วยเมล็ดงอก เริ่มตั้งแต่การเพาะเมล็ดยางในแปลงเพาะเมล็ด
โดยยกร่องกว้าง 1 เมตร 20 เซนติเมตร
ส่วนความยาวของแปลงขึ้นอยู่กับความต้องการ
จากนั้นใช้ทรายหรือขี้เลื่อยเก่าๆ กลบบนแปลงเพาะแล้วเกลี่ยให้เรียบ
รดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้นอีก 1
สัปดาห์เมล็ดก็จะงอก
ทำการเก็บเมล็ดที่งอกไปปลูกได้ทุก
3.การปลูกด้วยกล้ายาง 2 ใบ
เริ่มตั้งแต่การจัดวางแนวปักไม้ชะมบไว้ที่หัวแถวที่ระยะ 30 x 60 เซนติเมตร แล้วขึงเชือกซึ่งได้ทำเครื่องหมายกำหนดระยะต้นไว้แล้วทุกระยะ
25 เซนติเมตร
จากนั้นใช้ไม้ที่เสี้ยมปลายแหลมหรือเหล็กปลายแหลมนำมาเจาะดินให้เป็นหลุมขนาดพอดีกับความยาวของราก
และนำต้นกล้ายาง 2 ใบที่ได้คัด เลือกต้นที่แข็งแรง ใบแก่และรากไม่คดงอ นำมาตัดรากให้เหลือประมาณ
20 เซนติเมตร และตัดใบออกหมดเพื่อลดการคายน้ำหลังจากที่ทำการปลูก หลังจากนั้นต้องกดดินรอบโคนต้นให้
5. การกำจัดวัชพืช จะต้องมีการกำจัดวัชพืชจำนวน 4
ครั้ง ดังรายละเอียดดังนี้
ครั้งที่ 1 การกำจัดวัชพืชก่อนงอก
ทำการพ่นสารเคมีก่อนและหลังการปลูก
โดยใช้สารเคมีไลนูรอนในอัตรา 250 กรัมต่อน้ำ 80
ลิตร หรือสารเคมีไดยูรอน ในอัตรา 120 กรัมต่อน้ำ
50 ลิตรต่อไร่
ครั้งที่ 2 การกำจัดวัชพืชหลังจากการปลูก 6
ถึง 8 สัปดาห์ จะต้องถางวัชพืชออกให้หมดก่อน
หลังจากนั้นจะพ่นตามด้วยสารเคมีไดยูรอน ในอัตรา 120 กรัมต่อน้ำ
50 ลิตรต่อไร่
ครั้งที่ 3 การกำจัดวัชพืชเมื่อต้นยางพารา
มีอายุ 4 เดือน จะต้องทำการถางวัชพืชออกให้หมดก่อน จากนั้นจะพ่นตามด้วยสารเคมีไดยูรอน ในอัตรา 120
กรัมต่อน้ำ 50 ลิตรต่อไร่
ครั้งที่ 4 การกำจัดวัชพืชต้นฤดูฝนในระยะติดตา โดยการใช้สารเคมีพาราควัท ในอัตรา 6,000
กรัมต่อน้ำ 50 ถึง 60 ลิตรต่อ
6. การใส่ปุ๋ย
เมื่อต้นกล้ายางเจริญเติบโตสักระยะหนึ่งแล้ว
ควรใส่ปุ๋ยเป็นระยะเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและสมบูรณ์ติดตาได้เร็ว
ปุ๋ยที่ใช้สำหรับต้นกล้ายางควรเป็นดังนี้
สำหรับดินร่วนปนทราย ใช้ปุ๋ยสูตร 3 (16-8-14) สำหรับดินร่วนปนเหนียวใช้ปุ๋ยสูตร
1 (18-10-6) ระยะเวลาในการใส่โดยแบ่งใส่เป็น 4 ครั้ง คือเมื่อยางพารามีอายุ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน และก่อนติดตา 1
เดือน โดยใช้อัตรา 36 กิโลกรัมต่อไร่
หรือประมาณ 15 กรัมต่อช่วงระยะ 1 เมตร
ในแถวคู่ ส่วนวิธีการใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยใน
2 ครั้งแรก ใช้วิธีหว่านปุ๋ยเป็นแถบกว้างประมาณ 8 เซนติเมตรในระหว่างแถวคู่
หลังจากนั้นใช้คราดเกลี่ยดินกลบเพื่อให้ปุ๋ยคลุกเข้ากับดิน
และการใส่ปุ๋ยครั้งต่อไป
ควรใช้วิธีการหว่านปุ๋ยให้ทั่วแปลงที่จะปลูกโดยระวังไม่ให้ถูกใบอ่อนกล้ายาง
2. การสร้างแปลงกิ่งตา
ปัจจุบันนิยมวิธีการสร้างแปลงผลิตกิ่งตาสีเขียวมากกว่าสีน้ำตาล
เพราะช่วยในการประหยัดต้นทุนการผลิต และสามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ในการเลี้ยงกิ่งตาสีเขียวจะใช้วิธีเลี้ยงกิ่งกระโดงประมาณ 3 ถึง 4 ฉัตร ตัดยอดกระโดงให้แตกกิ่งแขนงตาเขียวออกมาประมาณ
1 ฉัตร ก็สามารถตัดเพื่อนำไปใช้ติดตาได้
หากยังไม่ต้องการใช้อาจจะปล่อยไว้เป็น 2 ฉัตรก็ได้
แต่ไม่ควรเกิน 3 ฉัตร เพราะจะทำให้ลอกแผ่นตาได้ยาก
อีกวิธีหนึ่งคือการตัดกิ่งกระโดงตาเขียวและเขียวปนน้ำตาลไปใช้ได้เลย
แต่จะได้จำนวนตาน้อยกว่าและจะต้องใช้เวลาในการเสียบกิ่งนานกว่า
1. การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นพื้นที่ราบ
ดินควรเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี
ระบายน้ำได้ดี ตั้ง อยู่ใกล้แหล่งน้ำและไม่มีไม้ยืนต้นอื่นปะปน
2. การเตรียมพื้นที่ปลูก
พื้นที่ปลูกจะต้องทำการไถพรวนดินและใส่ปุ๋ย
โดยจะปฏิบัติเช่นเดียวกับการเตรียมพื้นที่ทำแปลงเพาะกล้ายาง
จากนั้นก็วางผังแปลงที่จะปลูก
และกำหนดพันธุ์ยางพาราที่จะปลูกตามปริมาณของแต่ละพันธุ์ตามความต้องการที่จะปลูก
โดยการแบ่งแปลงกิ่งตาออกเป็นแปลงย่อย เว้นระยะห่างแต่ละระยะอย่างชัดเจน เช่น
ระยะการปลูกในแต่ละแปลง ควรมีขนาด 1 x 2 เมตร
และระยะห่างระหว่างแปลงควรมีระยะห่าง 3 เมตร เป็นต้น
3.
ระยะการปลูก
การปลูกสร้างแปลงกิ่งตายางเพื่อผลิตกิ่งตาเขียวใช้ระยะปลูกดังนี้
1 x 2 เมตร
= 800 ต้นต่อไร่
1.25 x 1.50 เมตร
= 853 ต้นต่อไร่
1.50 x 1.50 เมตร
= 711 ต้นต่อไร่
1.25 x 1.25 เมตร
= 1,024 ต้นต่อไร่
4. การดูแลรักษาการใส่ปุ๋ยในช่วงแรกจะใช้ปุ๋ยหินฟอสเฟต
อัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ 25 กรัมต่อหลุม
ผสมกับดินที่ใส่รองก้นหลุม
ส่วนการใส่ปุ๋ยในแปลงกิ่งตา ควรใช้ปุ๋ยยางอ่อนสูตร 1 สำหรับดินเหนียว
หรือสูตร 3 สำหรับดินร่วนหรืออาจใช้ปุ๋ย 15-15-6-4 หรือ 15-15-15 แทน และแบ่งใส่ปุ๋ย จำนวน 4
ครั้งต่อปี ครั้งละ 36 กิโลกรัมต่อไร่
โดยวิธีหว่านรอบโคน
5. การตัดแต่งเพื่อเลี้ยงกิ่งตายาง
หลังจากปลูกจนต้นยางมีความสูจากพื้นประมาณ 1 เมตร
หรือต้นมีเปลือกสีน้ำตาล หรือมีอายุประมาณ 1 ปี
จะตัดกิ่งตาทั้งกระโดงไปใช้ได้เลย แต่หากจะเลี้ยงเป็นกิ่งตาเขียว
ให้ตัดยอดฉัตรกิ่งบนสุดทิ้งไป (ตัดเลี้ยงครั้งที่ 1) จากนั้นปล่อยให้มีการแตกกิ่งแขนงออกมาบริเวณฉัตรยอด
เลี้ยงไว้ จำนวน 3 ถึง
4 กิ่ง เมื่อกิ่งยอดฉัตรแก่แล้วก็สามารถตัดไปใช้ได้ และขณะเดียวกันก็ทำการตัดเลี้ยงเป็นครั้งที่ 2 ในแต่ละปี จะตัดเลี้ยงกิ่งตาได้
จำนวน 3 ครั้ง เมื่อหมดฤดูกาลติดตาแล้วจะตัดต้นล้างแปลง
โดยให้เหลือกิ่งกระโดง จำนวน 1 ถึง 2 กระโดง
มีความสูงจากพื้นดิน ประมาณ 75
เซนติเมตร เพื่อเลี้ยงกิ่งกระโดงไว้ผลิตกิ่งตาเขียวในปีที่ 2
เมื่อเลี้ยงกิ่งกระโดงได้
จำนวน 3 ถึง 4 ฉัตร ก็ให้ปฏิบัติเหมือนกับการตัดแต่งกิ่งในปีที่ 1
อีก และเมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 ต้นกิ่งตาจะเลี้ยงกิ่งกระโดง
และในปีที่ 4 ต้นกิ่งตาจะเลี้ยงกิ่งได้ถึง 4 กระโดง
3. วิธีการติดตาเขียว
การติดตาเขียวจะได้ผลสำเร็จสูงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญ
ได้แก่
1. ต้นกล้ายางจะต้องมีความสมบูรณ์แข็งแรง มีอายุประมาณ 4 ½ ถึง 8 เดือน ขนาดของลำต้นมีเส้น
ผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 1 เซนติเมตร วัดจากระดับสูงจากพื้นดิน 10 เซนติเมตร
มีลำต้นตั้งตรง โคนรากไม่คดงอและลอกเปลือกได้ง่าย
2. กิ่งตาเขียว
กิ่งที่ได้จากแปลงกิ่งตายาง
ซึ่งได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นพันธุ์ยางพาราที่ถูกต้อง
กิ่งตาเขียวที่สมบูรณ์จะต้องมีอายุ 42 ถึง 49 วัน
ลอกเปลือกได้ง่าย ไม่เปราะหรือมีเสี้ยนติดเนื้อไม้
3. ความชำนาญในการติดตา
วิธีการติดตาเขียวสามารถฝึกหัดได้ง่าย
ผู้ที่มีความชำนาญแล้วจะได้รับผลสำเร็จสูงกว่าร้อยละ 90
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย โดยทั่วไปผู้ที่มีความชำนาญจะสามารถติดตาได้ประมาณ
300 ต้นต่อวัน
4. ฤดูกาล
ควรเป็นต้นฤดูฝนไปจนถึงกลางฤดูฝน
ส่วนปลายฤดูฝนไม่ควรทำการติดตาเพราะเมื่อตัดต้นเพื่อให้กิ่งตาผลิออกมาก็จะเริ่มเข้าสู่ฤดูแล้ง ซึ่งจะทำให้ต้นยางพาราตายได้
แต่หากติดตาแล้วถอนนำไปชำไว้ในถุงพลาสติกก็สามารถปฏิบัติได้ และหากในแปลงกล้ายางมีการรดน้ำตลอดทุกวัน ก็จะสามารถติดตาได้ตลอดทั้งปี
5. วัสดุอุปกรณ์ วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการติดตา ได้แก่ กรรไกรตัดกิ่งตา ถุงพลาสติกใส่กิ่งตา
แถบพลาสติกใส ขนาดกว้าง 5/8 นิ้ว หนา 0.05
มิลลิเมตร หินลับมีด เศษผ้าสำหรับทำความสะอาดต้นยางพารา
วิธีปฏิบัติ
1. เลือกต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์
ทำความสะอาดโคนต้นกล้าด้วยเศษผ้า โดยการเช็ดสิ่งสกปรกและทรายออกต้นกล้า
2.
เปิดรอยกรีดโดยใช้ปลายมีดกรีดตามความยาวลำต้น จำนวน 2 รอย ความยาว 7 ถึง 8
เซนติเมตร ห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร ให้ส่วนล่างของรอยกรีดสูงจากพื้นดิน ประมาณ 1
ถึง 2 เซนติเมตร แล้วใช้มีดกรีดเป็นแนวขวางกับรอยกรีดโดยให้ด้านบนให้เชื่อมติดกัน
แล้วใช้ปลายมีดหรือด้ามงาบแคะเปลือกบริเวณมุมแล้วลอกเปลือกลงข้างล่างจนสุด
จากนั้นตัดเปลือกที่ดึงออกให้เหลือเป็นลักษณะของลิ้นสั้นๆ ความยาวประมาณ 1 ถึง 1½ เซนติเมตร
3.
เตรียมแผ่นตาที่ได้จากกิ่งตาเขียว ใช้มีดคมเฉือนออกอย่างเบามือ
โดยเริ่มจากด้านปลายไปยังด้านโคนโดยให้ติดเนื้อไม้บางๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดแนวยาว ความยาวประมาณ 8 ถึง 9 เซนติเมตร และให้มีตาอยู่ตรงกลางแผ่น
ความกว้างของแผ่นตากะประมาณให้พอดีกับความกว้างของรอยแผล และเปิดเปลือกบนต้นกล้า
หากการเฉือนแผ่นตาหนาให้มีความหนามากเกินไปจะทำให้ลอกออกยาก เนื่องจากแผ่นตาเขียวช้ำได้ง่าย
ดังนั้นก่อนก่อนเฉือนแผ่นตาต้องแน่ใจว่ามีดคมและสะอาดพอ
4. แต่งแผ่นตาทั้ง 2
ข้างให้มีลักษณะบางๆ ขนาดพอให้แผ่นตาเข้ากับรอยเปิดกรีดบนต้นตอ จากนั้นก็ตัดปลายด้านล่างออก
5.
ลอกแผ่นตาออกจากเนื้อไม้
โดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้างจับปลายด้านบนของแผ่นตา ใช้นิ้วกลางประคองแผ่นตาส่วนล่างแล้วค่อยๆ
ลอกเนื้อไม้ออกจากเปลือกแผ่นตา โดยพยายามอย่าให้ส่วนที่เป็นเปลือกโค้งงอ หรืออีกวิธีหนึ่งใช้การลอกด้วยปากโดยใช้มือข้างหนึ่งจับแผ่นตาไว้
แล้วหันด้านปลายแผ่นตาที่ยังไม่ตัดเข้าหาปาก
ใช้ฟันยึดส่วนที่เป็นเนื้อไม้แล้วใช้หัวแม่มือกับนิ้วชี้ของมืออีกข้างหนึ่งจับเปลือกด้านล่างไว้ แล้วค่อยๆ ลอกเนื้อไม้ออกจากเปลือกแผ่นตา พยายามไม่ให้เปลือกโค้งงอเช่นกัน ตรวจดูแผ่นตาที่ลอกเสร็จ
หากแผ่นตาซ้ำหรือจุดเยื่อเจริญหลุดหรือแหว่งหรือไม่สมบูรณ์ก็ให้ทิ้งไป ใช้เฉพาะแผ่นตาที่สมบูรณ์เท่านั้น
6.
สอดแผ่นตาที่ลอกเนื้อไม้ออกแล้วนี้ใส่ลงในลิ้นเปลือกต้นตอเบาๆ อย่างรวดเร็ว และในขณะที่ใส่ระวังอย่าให้แผ่นตาถูกเนื้อไม้ เพราะจะทำให้แผ่นตาและเยื่อราเกิดอาการช้ำได้
และตัดส่วนของแผ่นตาที่เกินอยู่ข้างบนทิ้งหรือจะทิ้งไว้
เพื่อรอตัดออกในขณะที่พันผ้าพลาสติกก็ได้
7.
พันแผ่นตาด้วยแผ่นพลาสติกใส
ขนาดความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร
โดยพันจากด้านล่างขึ้นข้างบนให้แผ่นตาแนบกับแผลรอยเปิดของต้นกล้า
และให้ขอบพลาสติกทับกันสูงขึ้นไปจนเหนือรอยตัดตา 2 ถึง 3 รอบ
ผูกพลาสติกให้แน่นโดยการสอดปลายเข้าไปในพลาสติกรอบสุดท้ายแล้วดึงให้แน่น
8.
ตรวจสอบความเรียบร้อยพร้อมทั้งปักป้ายแสดงวันที่ติดตา ชื่อพันธุ์ยางพาราและจำนวนต้น
หลังจากนั้นอีก 21 วัน
ให้ตรวจดูความเจริญเติบโต
หากแผ่นตายังคงมีสีเขียวแสดงว่าการติดตาประสบผลสำเร็จ ให้ใช้มีดกรีดพลาสติกบริเวณด้านตรงข้ามเพื่อไม่ให้พลาสติกหลุดออกจากแผ่นตา แต่หากแผ่นตาเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล แสดงว่าการติดตาไม่ประสบผลสำเร็จ ให้ใช้มีดกรีดพลาสติกด้านหลังออกเพื่อทำการติดตาซ้ำหลังจากตรวจผลสำเร็จและเมื่อนำพลาสติกออกแล้ว ปล่อยให้ต้นที่ติดตาอยู่ในแปลงไม่น้อยกว่า 1
สัปดาห์ก่อนที่จะถอนไปปลูกหรือตัดต้นยางพาราทีมีอยู่เดิมทิ้ง
ข้อควรระวังในการติดตา
1. ไม่ควรติดตาในเวลาที่มีอากาศร้อนจัด
2. การนำกิ่งตาไปติดตาแต่ละครั้ง
มีจำนวนไม่เกินกว่า 30 กิ่ง
3. เลือกติดตาเฉพาะต้นตอที่มีความสมบูรณ์
4. มีดที่จะทำการติดตาจะต้องคมอยู่เสมอ
5. อย่าให้แผ่นตาช้ำหรือปล่อยให้น้ำเลี้ยงแห้ง
6. พันแผ่นตาให้แน่นอย่าให้น้ำเข้าไปได้
ฤดูปลูก
เมื่อเริ่มเข้าฤดูแล้งประมาณเดือนมกราคม
ควรจะเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกยางพาราโดยเก็บไม้ออกจากบริเวณพื้นที่ให้เรียบร้อย ทำการไถพรวนดินและวางแนวขุดหลุมปลูก
หากผสมปุ๋ยอินทรีย์รองก้นหลุมด้วยควรจะดำเนินการให้เสร็จก่อนจะปลูกยางในช่วงฤดูฝน
1 เดือน โดยฤดูฝนจะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม
หากพื้นที่มีความชื้นเพียงพอ ก็จะสามารถปลูกต้นยางชำถุงได้
และการปลูกต้นตอควรให้มีความชื้นเต็มที่ในขณะปลูกไม่น้อยกว่า 2 เดือน หลังปลูก 15 วัน ถึง 1
เดือนควรมีการปลูกซ่อม โดยต้องปลูกซ่อมให้เสร็จก่อนจะหมดฤดูฝนอย่างน้อย 2 เดือน เพราะในช่วงกลางฤดูฝน
ฝนมักตกทิ้งช่วงให้ฝักของเมล็ดยางพาราแห้ง และแตกร่วงหล่น การตกของเมล็ดยางพาราช่วงนี้เรียกว่า
เมล็ดยางในปี (เป็นเมล็ดที่สำคัญในการขยายพันธุ์ยางพารา) ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน
ขึ้นอยู่กับพื้นที่ เมล็ดยางพาราเหล่านี้นำมาปลูกเพื่อทำกล้ายางสำหรับติดตาในแปลงปลูก
หรือนำไปทำเป็นวัสดุปลูกขยายพันธุ์ต่อไปก็ได้
หมายเหตุ:
-
กำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้ง
- ขณะที่ยางมีอายุ 1ถึง 3 ปี สามารถปลูกพืชแซมยางได้
-
หากไม่ปลูกพืชแซมยางหรือหลังจากที่ปลูกพืชแซมแล้วควรปลูกพืชคลุมดินตระกูลถั่ว
- เริ่มเปิดกรีดเมื่อต้นยางมีขนาดเส้นรอบต้นไม่ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร
(วัดตรงบริเวณที่สูงจากพื้นดิน 1.50 เมตร) และมีจำนวนต้นยางที่ได้
ขนาดเปิดกรีดนั้นไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนต้นยางที่จะเปิดกรีดทั้งหมด
ปกติจะเริ่มกรีดได้ในปีที่ 7
- ระบบกรีดที่เหมาะสมกัน คือ
ครึ่งลำต้นวันเว้นวัน
- หยุดกรีดยางขณะยางผลัดใบโดยหยุดเมื่อใบยางร่วงแล้วครึ่ง
หนึ่งของใบยางทั้งหมดในต้น หรือเมื่อน้ำยางลดลงครึ่งหนึ่งของที่เคยได้รับตามปกติ
และหยุดกรีดเมื่อฝนตกหรือต้นยางเปียก
- เวลาอาจคลาด
เคลื่อนได้บ้างตามฤดูกาลของแต่ละพื้นที่
ไฟไหม้สวนยางพาราในช่วงเริ่มปลูกจนถึงก่อนเปิดกรีดเป็นปัญหา สำคัญของเกษตรกร
หากสามารถป้องกันไฟไหม้สวนยางได้
โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการปลูกสร้างสวนยางจะมีสูงยิ่ง
การกรีดยาง
การกรีดยางเพื่อให้สะดวกต่อการกรีด
และยังคงรักษาความสะอาดของถ้วยรองรับน้ำยางนั้นควรคำนึงถึงระดับความเอียงของรอยกรีดและความคมของมีดที่ใช้กรีดซึ่งต้องคมอยู่เสมอ[1]
เวลากรีดยาง : ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกรีดยางมากที่สุดคือ ช่วง 6.00-8.00 น.
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นต้นยางได้อย่างชัดเจนและได้ปริมาณน้ำยางใกล้เคียงกับการกรีดยางในตอนเช้ามืด
แต่การกรีดยางในช่วงเวลา 1.00-4.00 น.
จะให้ปริมาณยางมากกว่าการกรีดยางในตอนเช้าอยู่ร้อยละ 4-5
ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ปริมาณน้ำยางมากที่สุดด้วย แต่การกรีดยางในตอนเช้ามืดมีข้อเสีย
คือ
ง่ายต่อการกรีดบาดเยื่อเจริญส่งผลให้เกิดโรคหน้ายางทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองและไม่มีความปลอดภัยจากสัตว์ร้ายหรือโจรผู้ร้าย การหยุดพักกรีด : ในฤดูแล้ง
ใบไม้ผลัดใบหรือฤดูที่มีการผลิใบใหม่
จะหยุดพักการกรีดยางเนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง
การกรีดยางในขณะที่ต้นยางเปียก จะทำให้เกิดโรคเส้นดำหรือเปลือกเน่าได้
การเพิ่มจำนวนกรีด : สามารถเพิ่มจำนวนวันกรีดได้โดย
การเพิ่มวันกรีด : สามารถกรีดในช่วงผลัดใบแต่จะได้น้ำยางในปริมาณน้อย
ไม่ควรเร่งน้ำยางโดยใช้สารเคมีควรกรีดเท่าที่จำเป็นและในช่วงฤดูผลิใบต้องไม่มีการกรีดอีก
การกรีดยางชดเชย :
วันกรีดที่เสียไปในฤดูฝนสามารถกรีดทดแทนได้แต่ไม่ควรเกินกว่า 2 วันในรอยกรีดแปลงเดิม และสามารถกรีดสายในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. หากเกิดฝนตกทั้งคืน
การกรีดสาย :
เมื่อต้นยางเปียกหรือเกิดฝนตกสามารถกรีดหลังเวลาปกติโดยการกรีดสายซึ่งจะกรีดในช่วงเช้าหรือเย็นแต่ในช่วงอากาศร้อนจัดไม่ควรทำการกรีด
วิธีปลูก
วิธีปลูก
สำหรับการปลูกยางพารา
มีวิธีการปลูกหลายวิธีการที่ใช้ได้ผลดีและนิยมนำมาปฏิบัติกัน ได้แก่
วิธีปลูกด้วยเมล็ดแล้วนำมาติดตาในแปลง
การปลูกด้วยต้นตอตา
และการปลูกด้วยต้นยางชำในถุง การจะเลือกใช้วิธีการใดในการปลูกยางพารานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสะดวก
การเจริญเติบโตและความแข็งแรงของต้นยางพารา และเงินทุน เป็นต้น ดังรายละเอียดดังนี้
การปลูกด้วยเมล็ดแล้วติดตาในแปลง
การปลูกสร้างสวนยางพาราโดยวิธีนี้จะได้ต้นยางพาราที่มีระบบรากที่แข็งแรงดี
มีการเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ข้อดีของต้นยางพาราที่ติดตาแล้ว
คือยังคงจำนวนเหลือพอที่จะใช้ปลูกซ่อมหรืออาจจำหน่ายให้เจ้าของสวนอื่นได้อีก
การปลูกแบบดังกล่าวมีวิธีการคือ
1. การเตรียมพื้นที่
โดยการไถพลิกดิน และเก็บเศษวัชพืชออกจากพื้นที่ให้หมด
จากนั้นทำการไถพรวนซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ดินร่วนและทำการปักไม้ชะมบตามระยะปลูกที่กำหนด
2. เตรียมหลุมปลูก
โดยให้ขนาดของหลุมที่ใช้ปลูก มีความกว้าง ยาวและลึก เท่ากับ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร หลังจากนั้นให้ตากแดดทิ้งไว้ 10
ถึง 15 วัน เพื่อให้มีการย่อยของดินที่อยู่ชั้นบนผสมกับปุ๋ยหินร็อคฟอสเฟตในอัตรา
170 กรัมต่อหลุมคลุกเคล้าลงไปในหลุม
3.
นำเมล็ดมาปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้หลุมละ 3 เมล็ด มีระยะห่างระหว่างเมล็ด 25
เซนติเมตร
การวางเมล็ดควรวางให้ด้านแบนของเมล็ดคว่ำลง หรือหากปลูกด้วยเมล็ดงอกก็ให้ด้านรากของเมล็ดคว่ำลง
ลึกลงไปจากผิวดินประมาณ 3 เซนติเมตร
4. ทำการติดตา
เมื่อกล้ายางมีอายุได้ 7 ถึง 8 เดือนหรือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 1
ถึง 1 1/2 เซนติเมตร ก็จะทำการติดตาบริเวณตำแหน่งในระดับสูงจากพื้นดิน ประมาณ 10
เซนติเมตร หลังจากนั้น 21 วัน หากการติดตาสำเร็จมากกว่า 1 ต้น
ก็ให้เลือกตัดเฉพาะยอดต้นยางพาราที่สมบูรณ์ที่สุดที่มีความสูงระดับ 10 ถึง15
เซนติเมตร เอียง 45 องศา ทางด้านตรงข้ามกับแผ่นตา จากนั้นอีก 1 เดือน
ถ้าหากตาของต้นที่ตัดยังไม่แตกก็พิจารณาติดต้นอื่นต่อไป
5. การดูแลรักษา
ก่อนทำการติดตาต้องทำการกำจัดวัชพืชพร้อมกับการใส่ปุ๋ยก่อนทุกครั้ง โดยใช้สูตร 1
หรือ 3 ในอัตรา 15 กรัมต่อต้นหลังจากปลูกไปแล้วในเดือนที่ 1 เดือนที่ 2
และเดือนที่ 3 และก่อนติดตา 1 เดือน
จากนั้นหลังจากการติดต้นเดิมแล้วก็จะใส่ปุ๋ยสูตร 1(18-10-6) หรือสูตร 3 (16-18-14)
สูตรใดสูตรหนึ่งตามรายละเอียดในตารางด้านล่าง
การปลูกด้วยต้นยางชำถุง
เป็นวิธีปลูกยางพาราที่ประสบผลสำเร็จสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่นๆ
เนื่องจากช่วยให้ต้นยางพารามีการเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ลดช่วงระยะเวลาในการดูแลรักษาต้นยางอ่อนให้สั้นลง
และสามารถกรีดยางได้เร็วกว่าการปลูกด้วยต้นตอตาหรือติดตาในแปลง การปลูกด้วยต้นยางชำถุง มีอยู่วิธีการปฏิบัติ 2 วิธีคือ การใช้วิธีติดตาในถุง ทำโดยการปลูกต้นกล้ายางในถุง ขนาด 8
x 10 นิ้ว
เมื่อต้นกล้ายางอายุ 4 ถึง 8
เดือน ก็ทำการติดตา และอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้ต้นตอตาเขียวมาปลูกในถุง ขนาด 5
x 16 นิ้ว และขนาด 4 x 15 นิ้ว ทั้ง 2 วิธีจะมีความแตกต่างกันคือ
การชำถุงด้วยต้นตอตาเขียวจะใช้เวลาในการแตกฉัตรที่ 1 และ 2 นานกว่าวิธีการติดตาในถุง คือการปลูกด้วยต้นตอตาเขียวจะใช้เวลาเติบโต 7½
ถึง 10 สัปดาห์ แต่การติดตาในถุงจะใช้เวลา 6 ถึง 7½ สัปดาห์เท่านั้น
ในด้านความเสียหายเมื่อย้ายที่จะปลูก
คือต้นยางชำถุงที่ปลูกด้วยวิธีติดตาในถุงจะมีความเสียหายสูงกว่าการชำถุงด้วยต้นตอตาเขียว
5 ถึง 6 เท่าตัว
สำหรับวิธีการปลูก ด้วยต้นยางชำถุงจะมีขั้นตอนและวิธีปฏิบัติดังนี้
1. เตรียมต้นยางชำถุงโดยใช้ต้นตอตาเขียว เริ่มตั้งแต่การนำดินกรอกใส่ถุง ขนาด 4 x 15 นิ้ว โดยใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยหินฟอสเฟตอัตรา 7-10 กรัมต่อถุง
แล้วนำมาอัดใส่ถุงให้แน่น
ใช้ไม้ปลายแหลมปักลงบริเวณกลางถุงให้เป็นรู
ใช้ต้นตอตาปลูกให้ตาสูงจากดินในถุง ประมาณ 2 นิ้ว
อัดดินให้แน่นแล้วนำไปเรียงไว้ในที่ร่มที่มีแดดรำไร ในระยะแถวกว้าง 10 ถุง และเมื่อตาแตกออกจึงจัดขยายเป็น
4 ถุงต่อความกว้างของแถว
การบำรุงรักษาหลังจากตางอกแล้ว 2 ถึง 3 สัปดาห์ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 1 ในครั้งแรกและครั้งต่อไปทุก 2 ถึง 4 สัปดาห์ ในอัตรา 5 กรัมต่อถุงจนกว่าต้นตาจะโต 1 ถึง 2 ฉัตร และมีใบแก่เต็มที่ (โดยการสังเกตยอดของฉัตรที่เริ่มผลิตยอดอ่อนเป็นปุ่มขึ้นมา)
จากนั้นก็พร้อมที่จะย้ายต้นและนำไปปลูกในแปลงได้
2. การปลูก เริ่มตั้งแต่การเตรียมพื้นที่
การเตรียมหลุมปลูก
ซึ่งจะเหมือนกับการปลูกด้วยต้นตอตา
ส่วนวิธีการปลูก ให้ใช้มีดคมกรีดเอาก้นถุงออก
กรณีที่มีราม้วนอยู่ก้นถุงให้ตัดออกด้วย นำถุงหย่อนลงในหลุม แล้วใช้มีดกรีดถุงอีกครั้ง จากก้นถุงจนถึงปากถุงทั้ง 2 ข้าง
จากนั้นนำดินมากลบพอหลวมแล้วดึงเอาถุงพลาสติกออก
และกลบดินเพิ่มและกดให้แน่นจนได้ระดับบริเวณโดยให้โคนต้นสูงอยู่ในระดับเดียวกับต้นที่ปลูกในถุง ส่วนการดูแลรักษาโดยเฉพาะระยะเวลาการใส่ปุ๋ย
ชนิดของปุ๋ยและปริมาณที่ใส่ก็จะกระทำเหมือนกันกับการปลูกด้วยต้นตอตา
การดูแล
การปลูกซ่อม
การปลูกยางพาราไม่ว่าจะใช้วัสดุปลูกชนิดใด
ภายหลังจากที่ทำการปลูกไปแล้ว ย่อมจะมีต้นยางพาราที่แตกต่างกันเสมอ ส่วนจะมีมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
เช่น ความสมบูรณ์ของวัสดุที่ใช้ปลูก สภาพภูมิอากาศ ความชำนาญของผู้ปลูก
และผลจากการทำลายของโรคและแมลงเป็นต้น
โดยจุดประสงค์แล้วการปลูกซ่อมยางพาราก็เพื่อต้องการให้ได้จำนวนต้นยางที่ปลูกมีจำนวนเท่าเดิมและไม่มีหลุมว่าง
ซึ่งจะทำให้ได้รับผลผลิตอย่างเต็มที่
อีกประการหนึ่งสิ่งที่จะต้องคำนึงอยู่เสมอในการปลูกซ่อมยางพาราก็คือ
การเจริญเติบโตที่สม่ำเสมอของยางพาราเดิมและยางพาราที่ปลูกซ่อมใหม่
ในการปลูกซ่อมเพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงต้องพิจารณาใช้วัตถุปลูกซ่อมอย่างเหมาะสม การจะใช้วัสดุปลูกซ่อมชนิดใด เช่น ต้นตอตา
ต้นติดตา หรือต้นยางชำถุง ต้องขึ้นอยู่กับขนาดของต้นยางพาราในแปลงปลูกในระยะนั้นๆ
การตัดแต่งกิ่งยางพารา 2 ส่วนคือ
การตัดแต่งกิ่งบริเวณลำต้น
1. ตัดกิ่งแขนงที่เกิดจากต้นตอเดิมออกจากต้นให้หมด
โดยเฉพาะในยางพาราที่ปลูกด้วยต้นตอตาหรือปลูกโดยวิธีติดตาในแปลง
2. กิ่งที่แตกออกจากลำต้นในระยะจากโคนต้นสูงขึ้นมา 30
เซนติเมตร หากมีกิ่งที่มีฉัตรใบ 2 ถึง 3
ฉัตร หรือกิ่งที่เจริญดีกว่ายอดก็ทำการตัดออกให้หมด
3. ต้นที่มีลำต้นสูง 1.8 ถึง 2
เมตร
หากยังไม่แตกกิ่งจะต้องสร้างทรงพุ่มโดยวิธีสอดยางหรือครอบยางและตัดกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ออก
4. เมื่อกิ่งแขนงที่ระดับ 1.3 ถึง 1.2 เมตร มีฉัตรใบ 3 ถึง 4 ฉัตร ให้เลือกตัดกิ่งแขนงที่ต่ำกว่า 1.3
เมตรออก
โดยเลือกตัดกิ่งที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโตเท่ากับครึ่งหนึ่งของลำต้น
5. ตัดกิ่งแขนงที่เจริญ 6 ถึง 8 ฉัตร
ตรงระดับ 0.9 ถึง 1.3 เมตรออกจากต้น หากเป็นต้นที่แตกกิ่งระดับ 1.8 ถึง 2 เมตร
โดยให้ช่วยสร้างทรงพุ่มโดยวิธีควั่นลำต้น
6. เมื่อยางพาราอายุได้ 2 ปี
ทำการตัดทุกกิ่งที่อยู่ต่ำกว่า 1.7 เมตรออกจากต้น
การตัดแต่งกิ่งบริเวณทรงพุ่ม
1. เมื่อต้นยางอายุ 2 ถึง 3
ปี จะต้องสังเกตและตัดกิ่งแขนงที่แตกจำนวนมากออกจากลำต้น เพื่อให้พุ่มใบโปร่งลดแรงปะทะลม
2.
กิ่งที่แตกออกเป็นคาคบ
จะมีขนาดไม่เท่ากันและทำให้น้ำหนักของกิ่งไม่สมดุลกัน
ให้ทำการตัดกิ่งขนาดเล็กออกจากลำต้น
3. เมื่อยางอายุ 3 ถึง 5 ปี
จะต้องเลือกตัดกิ่งออกจากลำต้นอีก เมื่อมีทรงพุ่มใบหนาเกินไป แต่ไม่ควรจะตัดยอดเพราะจะทำให้ยอดแตกกิ่งออกมามาก
การปลูกพืชแซมยาง
การปลูกพืชแซมยาง
เป็นการใช้เนื้อที่สวนยางพาราในขณะที่ยางพารายังมีอายุไม่มาก ก่อให้เกิดประโยชน์สวนยางพาราเอง
ทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เจ้าของสวนในระยะ 3
ปีแรกในขณะที่ยางพารายังมีอายุไม่มากด้วย
แต่การปลูกพืชแซมหากไม่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอาจเป็นผลเสียต่อต้นยางพาราที่ปลูกได้
จึงจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
วิธีการใส่ปุ๋ย
วิธีการใส่ปุ๋ยที่ดี
จะต้องเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกในการปฏิบัติ และเมื่อใส่ปุ๋ยแล้วพืชสามารถดูดปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
โดยมีวิธีการใส่ปุ๋ยดังนี้ ใส่รองพื้น
นิยมใช้ปุ๋ยร๊อคฟอสเฟต
ซึ่งเป็นปุ๋ยที่เคลื่อนไหวได้ยากเพราะถูกตรึงด้วยแร่ธาตุต่างๆ ในดิน
โดยคลุกเคล้าปุ๋ยกับดินแล้วใส่ลงในหลุมก่อนปลูกยาง ใส่แบบหว่าน
เป็นการหว่านปุ๋ยให้ทั่วบริเวณที่ต้องกรใส่ปุ๋ย เหมาะสำหรับใช้กับพื้นที่ที่เป็นที่ราบ
และมีการกำจัดพืชด้วยสารเคมีเพราะเศษซากพืชที่เหลือ จะช่วยป้องกันการชะล้างปุ๋ยในช่วงที่มีฝนตก
แต่หากเป็นที่ราบที่กำจัดพืชด้วยวิธีถากควรไถคราดเพื่อให้ปุ๋ยเข้ากับดินด้วย
และเพื่อป้องกันน้ำฝนชะล้างปุ๋ย ใส่แบบเป็นแถบ
เป็นการใส่ปุ๋ยโดยการโรยเป็นแถบไปตามแนวแถวของต้นยางพาราที่อยู่ในร่องที่เซาะไว้
จากนั้นจึงทำการกลบ
วิธีนี้จะใช้กับต้นยางพาราที่มีอายุ 17 เดือนขึ้นไป
และยังเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความลาดเทเล็กน้อยหรือพื้นที่ทำขั้นบันได้ด้วย ใส่แบบเป็นหลุม
เป็นการใส่ปุ๋ยโดยการขุดหลุมบริเวณรอบโคนหรือสองข้างของต้นยางประมาณ 2 ถึง 4 หลุมต่อต้น
แล้วใส่ปุ๋ยลงในหลุมแล้วทำการกลบให้เรียบร้อย
เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ลาดเทและไม่ได้ทำขั้นบันได
นอกจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ควรคำนึงในการใส่ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ก็คือควรใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ
และหลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงที่มีอากาศแห้งแล้งหรือฝนตกชุกมากเกินไป
นอกจากนี้ควรจะกำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้ง
หากต้องการให้ต้นยางพาราสมบูรณ์ แข็งแรง
เจริญเติบโตดี สามารถเปิดกรีดได้เร็ว และให้ผลผลิตสูงอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
จะต้องมีการใส่ปุ๋ยให้กับต้นยางพาราอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มต้นปลูกไปจนถึงก่อนโค่นต้นยาง
3 ถึง 5 ปี
โดยปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมตามหลักการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น