ตัวอย่างโรคและแมลงศัตรูยางพาราที่พบในปัจจุบันมากที่สุด
1. โรคใบร่วงและฝักเน่า : โรคเกิดจากเชื้อรา
โดยมีอาการใบยางร่วงในขณะที่ใบยังสด
2. โรคราแป้ง :
โรคเกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการปลายใบอ่อนบิดงอ เปลี่ยนเป็นสีดำและร่วง
ใบแก่มีปุยสีขาวเทาใต้ใบ เป็นแผลสีเหลืองก่อนที่จะเป็นเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล โรคที่เกิดกับต้นยางพารามีดังนี้
1.โรคที่เกิดจากเชื้อคอลเลตโตริกัม
(Colletotrichum Leaf Disease)
ลักษณะอาการของโรค ถ้าเกิดจากเชื้อ C.gloeosporioides เชื้อนี้เข้าทำลายใบยางขณะมีอายุ 5 – 15 วัน หลังจากเริ่มผลิ คือ
ระยะที่ใบขยายและกำลังเปลี่ยนจากสีทองแดงเป็นเขียวอ่อน
เมื่อเชื้อราเข้าทำลายอย่างรุนแรง ใบจะเหี่ยวและหลุดร่วงทันที
แต่ถ้าหากเชื้อราเข้าทำลายเมื่อใบโตเต็มที่แล้ว ใบจะแสดงอาการเป็นจุด ปลายใบหงิกงอ
แผ่นใบเป็นจุดสีน้ำตาล มีขอบแผลสีเหลือง
เมื่อใบมีอายุมากขึ้นจุดเหล่านี้จะนูนจนสังเกตเห็นได้ชัด ถ้าเกิดจากเชื้อ C.heveae ระยะเริ่มแรกของโรคนี้จะมีแผลเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กค่อนข้างกลม
ขอบแผลมีสีน้ำตาลเข้ม แล้วขยายออกจนกลายเป็นแผลใหญ่ขึ้น
ซึ่งแผลของโรคนี้จะใหญ่กว่าโรคที่เกิดจาก C.
gloeosporioides ตรงกลางแผลจะเกิดจุดสีดำของราเป็นคล้ายขนแข็ง ๆ ยื่นขึ้นมาจากผิวใบ
โรคนี้มักเกิดกับต้นยางที่ปลูกในดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์
การป้องกันกำจัด
1. เนื่องจากโรคนี้เกิดกับยางที่ไม่สมบูรณ์
การบำรุงรักษาสภาพดินให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นยาง
จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
2. ป้องกันใบที่ผลิออกมาใหม่มิให้เป็นโรค
โดยใช้สารเคมี ไซเน็บ หรือแคบตาโฟล ผสมสารจับใบฉีดพ่น 5 – 6 ครั้ง
ในระยะที่ใบอ่อนกำลังขยายตัวจนมีขนาดโตเต็มที่
2. โรคเปลือกเน่า
(Mouldy rot)
ลักษณะอาการของโรค ในระยะแรกจะเห็นเป็นรอยบุ๋ม
และมีสีจางบนเปลือกงอกใหม่เหนือรอยกรีด
ซึ่งเป็นลักษณะอาการที่คล้ายคลึงกับอาการระยะแรกของโรคเส้นดำ
ในระยะต่อมารอยแผลของโรคเปลือกเน่าจะมีเส้นใยของเชื้อราสีเทาขึ้นปกคลุมจนเห็นได้ชัด
เมื่ออาการของโรครุนแรงขึ้นและสภาพแวดล้อมเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อรา
จะสังเกตเห็นเชื้อราเจริญและขยายลุกลามออกไปจนเห็นเส้นใยของเชื้อราเกิดขึ้นเป็นแถบขนานไปกับรอยกรีด
ซึ่งเปลือกบริเวณดังกล่าวนี้จะเน่าหลุดเป็นแอ่งเหลือแต่เนื้อไม้สีดำในที่สุด
เมื่อเฉือนเปลือกบริเวณข้างเคียงรอยแผลออกดูจะไม่พบอาการเน่าลุกลามออกไปแต่อย่างใดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเกิดโรค
การป้องกันกำจัด
1. เนื่องจากโรคนี้มักเกิดในแหล่งปลูกยางที่มีความชื้นสูงมาก
ๆ ฉะนั้นในแปลงยางจึงควรมีการตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืชในสวนยางอยู่เป็นประจำ
เพื่อให้สวนยางโปร่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ความชื้นในแปลงยางจะได้ลดลง
2. ถ้าปรากฏว่าต้นยางเป็นโรคเปลือกเน่า
ควรหยุดกรีดยางเสีย 2 – 3 สัปดาห์
เพื่อป้องกันมิให้เชื้อแพร่ไปติดต้นอื่น
3. โรคนี้นอกจากจะติดไปยังต้นอื่นได้ด้วยลมและแมลงแล้ว
ยังอาจติดไปกับเสื้อผ้าของคนกรีด ภาชนะที่ใส่เศษยาง และมีดกรีดยางอีกด้วย
ถ้าปรากฏว่าในสวนยางเป็นโรคนี้แล้วจะต้องควบคุมระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
3. โรคเปลือกแห้ง
สาเหตุ
- สวนยางขาดการบำรุงรักษา
- การใส่ปุ๋ยไม่ตรงกับเวลาที่กำหนด
และใช้ปุ๋ยไม่เหมาะสมกับสภาพของดิน
- กรีดเอาน้ำยางออกมากเกินไป
กรีดถี่เกินไป และใช้ระบบกรีดไม่ถูกต้อง
- เกิดการผิดปกติภายในท่อน้ำยาง
ลักษณะอาการของโรค ก่อนเกิดโรค
ต้นยางที่จะเป็นโรคเปลือกแห้ง มักจะแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่างประกอบกันให้สังเกตเห็นได้ ดังนี้
1. น้ำยางบนรอยกรีดจะจับตัวกันเร็วกว่าปกติ
2. น้ำยางที่กรีดได้จะมีปริมาณมากกว่าปกติ การหยดของน้ำยางนานกว่าปกติ
3. น้ำยางที่กรีดได้จะใส และมีปริมาณเนื้อยางแห้งต่ำ
4. เปลือกของต้นยางเหนือรอยกรีดจะมีสีซีดลง
การป้องกันกำจัด
1. เอาใจใส่บำรุงรักษาสวนยางให้สมบูรณ์แข็งแรงตั้งแต่เริ่มปลูก
2. ใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมตามจำนวนและระยะเวลาที่ทางวิชาการแนะนำ
3. ใช้ระบบกรีดให้ถูกต้องและเหมาะสมกับพันธุ์ยาง
4. อย่ากรีดยางเมื่อยางยังไม่ได้ขนาดเปิดกรีด
5. หยุดกรีดยางในขณะยางผลัดใบ
4. โรคเส้นดำ (Black Stripe)
ลักษณะอาการของโรค
เชื้อจะเข้าทำลายได้เฉพาะบริเวณเปลือกยางที่มีบาดแผลเท่านั้น โดย
ส่วนใหญ่จะเข้าทำลายทันทีทางรอยกรีดใหม่ที่กรีดไปแล้วไม่เกิน 24 ชั่วโมง บนผิวเปลือกยางที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ เชื้อสาเหตุของโรคนี้จะไม่สามารถเข้าทำลายต้นยางได้
ฉะนั้นการกรีดยางให้ดีและถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก
ในระยะแรกหลังจากที่เชื้อราเข้าทำลายแล้ว
จะเห็นบริเวณที่เป็นโรคมีสีผิดปกติเป็นรอยช้ำ ส่วนมากมักจะเกิดขึ้นเหนือรอยกรีด
หากอาการรุนแรงมากขึ้นบริเวณที่เป็นรอยช้ำนี้จะเปลี่ยนเป็นรอยบุ๋มสีดำ
และจะขยายตัวยาวขึ้นไปในแนวดิ่ง
คือสูงขึ้นไปส่วนบนเหนือรอยกรีดและลงใต้รอยกรีดอย่างรวดเร็ว
ระยะนี้จะสังเกตเห็นอาการของโรคได้ชัดเจน
เนื่องจากส่วนที่ไม่เป็นโรคมีเปลือกงอกใหม่หนาเพิ่มมากขึ้น
ทิ้งให้ส่วนที่เป็นโรคเป็นรอยบุ๋มลึกชัดเจน เนื่องจากเยื่อเจริญส่วนนั้นตายหมด
เมื่อเฉือนเปลือกออกดูจะพบรอยบุ๋มสีดำนั้นมีลายเส้นสีดำ บนเนื้อไม้บริเวณแผล
ซึ่งมักเป็นรอยยาวตามแนวยืนของลำต้น
อาการขั้นรุนแรงจะทำให้เปลือกของหน้ายางบริเวณที่เป็นโรคปริ
มีน้ำยางไหลออกมาตลอดเวลา และเปลือกบริเวณที่เป็นโรคนี้จะเน่าหลุดออกทั้งหมดในที่สุด
ยางพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคนี้ได้แก่ RRIM600
การป้องกันกำจัด
1. อย่าเปิดหน้ายางหรือขึ้นหน้ายางใหม่ในระหว่างฤดูฝน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีฝนตก อย่ากรีดลึกจนถึงเนื้อไม้ เพราะจะทำให้หน้ายางเสียหายและเป็นผลทำให้โอกาสที่เชื้อจะเข้าทำลายมีมาก
2. ตัดแต่งกิ่งยางและปราบวัชพืชในสวนยางให้สวนยางโปร่ง
มีอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยให้หน้ายางแห้งเร็วขึ้น เป็นการลดความรุนแรงของโรคได้
3. การกรีดยางในฤดูฝนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มีโรคใบร่วงระบาด
ควรทาหน้ายางด้วยสารเคมีชนิดเดียวกับที่ใช้รักษา
หมายเหตุ: และยังมีโรคอื่นๆอีกมากมายที่มีผลในด้านการปลูกต้นยางพารา เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น